บ้านทรุดเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อโครงสร้างของบ้าน โดยทั่วไปมีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้:
สภาพดิน – พื้นดินที่อ่อนตัวหรือเกิดการยุบตัวตามธรรมชาติ เช่น ดินเหนียว หรือดินถมใหม่ที่ยังไม่แน่นพอ
โครงสร้างรองรับอาคาร – เสาเข็มที่สั้นเกินไปหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้บ้านทรุดได้
การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน – น้ำท่วมขังหรือฝนตกหนักเป็นเวลานานอาจทำให้ดินรอบฐานรากอ่อนตัว
แรงสั่นสะเทือนจากสิ่งแวดล้อม – การก่อสร้างใกล้เคียงหรือการจราจรที่มีการสั่นสะเทือนสูง
น้ำหนักส่วนเกินของบ้าน – การต่อเติมบ้านหรือเพิ่มน้ำหนักโดยไม่คำนึงถึงโครงสร้างรองรับ
สำรวจสภาพดินก่อนสร้างบ้าน – ควรให้วิศวกรตรวจสอบคุณภาพของดินก่อนตัดสินใจเลือกแบบฐานราก
เลือกใช้เสาเข็มที่เหมาะสม – หากเป็นพื้นที่ดินอ่อน ควรใช้เสาเข็มเจาะหรือเสาเข็มแบบตอกให้ลึกพอ
ดูแลระบบระบายน้ำ – ติดตั้งท่อระบายน้ำและป้องกันน้ำขังรอบบ้าน
หลีกเลี่ยงการถมดินสูงเกินไป – หากต้องถมดินควรทำอย่างเป็นขั้นตอนและให้มีการบดอัดให้แน่น
ไม่ต่อเติมโดยไม่คำนึงถึงโครงสร้าง – การเพิ่มน้ำหนักบ้านโดยไม่มีการเสริมโครงสร้างอาจเป็นสาเหตุให้บ้านทรุด
ฉีดน้ำปูนหรือซีเมนต์อัดดิน (Jet Grouting หรือ Grouting Injection) – เหมาะสำหรับบ้านที่ทรุดเล็กน้อย โดยการอัดซีเมนต์ลงไปใต้ฐานบ้านเพื่อเสริมความแข็งแรง
ติดตั้งเสาเข็มเพิ่ม (Underpinning) – ใช้วิธีเสริมเสาเข็มเพิ่มเติมเพื่อลดการทรุดตัวของฐานราก
ปรับระดับพื้นบ้าน (Slab Jacking) – ใช้แรงดันอัดโฟมหรือซีเมนต์ใต้พื้นบ้านเพื่อดันพื้นกลับขึ้นมา
เสริมโครงสร้างบ้าน – เพิ่มคานรองรับใหม่เพื่อกระจายน้ำหนักบ้านให้ดีขึ้น
ยกบ้านทั้งหลัง – ใช้วิธีการยกบ้านขึ้นทั้งหลังแล้วเสริมฐานรากใหม่ วิธีนี้ใช้กับบ้านที่ทรุดตัวมาก
การป้องกันและแก้ไขปัญหาบ้านทรุดต้องอาศัยการตรวจสอบและแก้ไขอย่างถูกต้อง การดูแลบ้านตั้งแต่เริ่มต้นและสังเกตสัญญาณเตือน เช่น รอยร้าวหรือพื้นเอียง จะช่วยลดความเสียหายและค่าใช้จ่ายในระยะยาว หากพบปัญหาบ้านทรุด ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด